จากรุ่นสู่รุ่น หากจะถามว่านาทีนี้ใครเป็นกำปั้นเบอร์ 1 ของเอเชีย เราก็คงต้อง ตอบว่านักมวย จากโพ้นจากทะเลบุตร แห่งพระอาทิตย์ “นาโอยะ อิโนเอะ” เจ้าของแชมป์โลก 2 สถาบัน

จากรุ่นสู่รุ่น ยอดมวยวัย 27 ปี ทำผลงานได้อย่างดียิ่งไม่มีที่ติด้วยสไตล์การชกที่ดุดันแถมมีไอคิวมวยสูงเก่งทั้งยังบุ่นและบู๊ ซึ่งสะท้อนให้มีความเห็นว่าเขาเป็น 1 ในนักมวยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ โดยคนที่อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของ “เดอะ มอนสเตอร์” คือ ฮิเดยูกิ อดีตแชมป์โลกรุ่น มินิมั่มเวท 2 สถาบัน WBA และ WBC

เมื่อเราพูดถึงยอดมวยจากแดนปลาดิบเราชอบนึกถึง ไฟต์ติ้ง ฮาราดะ (มาซาฮิโระ ฮาราดะ), จิโร่ วาตานาเบ้, ฮิโรยูกิ เอบิฮาระ, โฮซูมิ ฮาเซงาวะ และก็ คุนิอากิ ชิบาตะ แต่ทว่าชื่อนึงครั้งค่หายไปจากลิสต์ซึ่งก็คือ ซึ่งน่าจะเป็นที่รู้จักกันดี ในสุดยอดในฐานะโปรโมเตอร์มากยิ่ง กว่าการยอดเยี่ยม นักต่อย ผลมวยวันนี้

กล่าวได้ว่า เป็นนักชกที่ ยอดเยี่ยมในช่วงปลายยุค 80 จนกระทั่งต้น 90 โดยสมัยก่อนแชมป์โลกชาวญี่ปุ่นเคยชกทั้งหมด 24 ครั้ง ชนะ 19 (น็อก 12) แพ้ 5 (แพ้น็อก 3) คว้าชัยทั้ง 19 ครั้งของเขาเป็น การชนะน็อกถึง 12 ครั้ง ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย เมื่อมาลองคิดเป็นเปอร์เซ็น มีอัตราน็อกคู่ต่อสู้ได้ถึง 50%

กำเนิดเมื่อปี 1965 ในเมือง โยโกฮาม่า จังหวัด คานากาว่า แล้วหลังจากนั้นเขาก็ให้ความสนใจการการ เป็นนักมวยโดยเริ่ม จาการเป็น นักมวยสมัครเล่น และก็เขาทำเป็นดีอย่างยิ่งจริงๆซึ่งใช้เวลาเวลาไม่นานนัก ก็เริ่มมีชื่อเสียง แล้วต่อจากนั้น เขาก็เดินสายลงแข่งขัน รายการต่างๆอีกทั้ง ในประเทศแล้วก็ต่างชาติ

จากรุ่นสู่รุ่น

ในฐานะโปรโมเตอร์ เขาเป็นหนึ่ง ในบุคคลสำคัญ ของญี่ปุ่นตอนนี้จากการที่เขา ได้บ่มเพาะ นักต่อยรุ่นต่อไป สู่การการเป็น ยอดมวยในอนาคต

เมื่อย้อนไป ในตอนนั้น เคยเป็นผู้แทน ของญี่ปุ่นมายังเมืองไทยเพื่อลงกระทำแข่งในรายการชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ เมื่อปี 1985 แล้วก็ได้เรื่องมุ่งหวังว่าจะได้ไปแข่งในกีฬาโอลิมปิก แต่ว่าน่าเสียดายที่ ทำไม่เสร็จหลังจาก ที่เขาแพ้ให้กับ มาโมรุ คุโรอิวะ สำหรับเพื่อการหาตัวแทนของญี่ปุ่น

จากนั้น ได้ผันตัวมาเป็น นักมวยอาชีพ โดยได้เซ็นสัญญาไปค้าหมัดที่ กรุง โตเกียว กับทาง โยเนลุกระยิม ของ อดีตยอดมวย เคนจิ โยเนคุระ ซึ่งเป็นค่ายมวยดั้งเดิมค่ายนึงของญี่ปุ่นโดยก่อตั้ง ตั้งแต่ในปี 1963

จากรุ่นสู่รุ่น

วันที่ 12 ก.พ. ปี 1985 เป็นวันแรกพื้นที่ ได้ก้าวขึ้นมา เป็นกำปั้นอาชีพแบบเต็มตัว ด้วยการขึ้นสังเวียนเดบิวต์ ซึ่งมีระบุ 6 ยก กับ มาซาคาซึ อาอิคาตะ แมตช์นี้เขาใช้เวลาแค่เพียง 2 นาที 25 วินาที แค่นั้น ก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้แล้ว ซึ่งในขณะนั้นเขามาอายุเพียงแค่ 19 ปี เท่านั้นเอง

ไฟต์ที่ 2 ของต้องรอ 3 เดือน กว่าจะได้ ขึ้นชกอีกรอบ โดยครั้งหนี้สิน มีกำหนด การต่อย 8 ยก ถึงแม้คราวนี้ จะไม่อาจจะ เอาชนะน็อก ฮิเดโตะ โอซาไน ได้ แต่ทว่าการต่อยในวันนั้นเขาได้บอกให้เห็น ถึงความแข็งแกร่ง รวมทั้งทรงอำนาจ

แล้วเขาไต่เต้าในพิกัด 108 ปอนด์ ขึ้นมาเรื่อยรวมทั้งท้ายที่สุด ก็ได้โอกาสได้ขึ้นชิงชนะเลิศโลกสถาบัน หลักกับทาง บอง จุน คิม เจ้าของเข็มขัดของ สภามวยโลก รุ่น ไลฟ์ ฟลาย เวท ชาวเกาหลีใต้ ที่ อินชอน ประเทศเกาหลีใต้

แต่ว่าครั้งนี้ จำเป็นต้องอกหัก ภายหลังที่เขา โดนแชมป์ โลกสอยหล่นในยกที่ 5 แล้วหลังจากนั้นอีก 4 ไฟต์ ก็ได้ช่องทางชิงชนะเลิศ เส้นเดิมอีกที แต่ว่าคราวนี้คู่ต่อยของเขาเป็น จุง กู ชาง แชมป์ชาวประเทศเกาหลีใต้ แต่ว่าไฟต์นี้ดีหน่อยที่ได้ต่อยในประเทศประเทศญี่ปุ่น แต่ว่ามันก็ เป็นราวกับหนัง ม้วนเดิมภายหลังโดนแชมเปี้ยนโลกจากดินแดนโสมน็อกได้ในยกที่ 8

หลังจากที่ อกหักในการชิงแชมป์โลก ในพิกัด 108 ปอนด์ มาแล้วถึง 2 ครั้ง เขารวมทั้งคณะทำงานได้ตกลงใจ ลดพิกัด มาต่อยในรุ่น 105 ปอนด์ ซึ่งเป็นพิกัดที่เล็กที่สุดของมวยสากลอาอีพ

โดยคราวนี้เขาทำเป็นสำเร็จด้วยการชนะน็อก ชอย จุม ฮวานแชมป์โลกจากประเทศเกาหลีใต้ ในยกที่ 9 คว้าเข็มขัดแชมป์รุ่น มินิมั่มเวท ของ สภามวยโลก มาครอบครองจนได้ ด้วยวัยเพียงแค่ 24 ปี

แม้กระนั้น โชคร้ายที่ เขาสามารถ คุ้มครองป้องกันตำแหน่งได้แค่เพียงครั้งเดียวแค่นั้น ภายหลังที่โดน ผู้ท้าแข่งจากดินแดนจังโก้อย่าง ริคาร์โด้ โลเปซ อัดตกพ่ายแพ้น็กในยกที่ 5

สิ่งที่ แสดงให้ทุกคนมอง เห็นเป็นการไม่ยอมแพ้ของเขา หมัดเลือดซามูไรรายนี้กลับมาสู้อีกครั้ง ทว่าหนนี้ขอเบนเข็มไปชิงเข็มขัดของทาง ชมรมมวยโลก (WBA) แทน แล้วก็ใช้เวลา 2 ปี ถึงจะได้โอกาสหวนมาขึ้นชิงตำแหน่งอีกครั้ง เปิดค่าเหนื่อย

โอฮาชิต้องพบกับแชมป์แดนโสมเหมือนดังทุกๆครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้แฟนมวยชาวญี่ปุ่นผิดหวังบดแต้มคว้าชัยเหนือ ชอย ฮิ ยอง มาแบบเอกฉันท์ คว้าแชมป์โลกของ ชมรมมวยโลก มาครอบครองได้อีกทีซึ่งเป็นยุคที่ 2 ของเขา

โดยคู่ชกสำหรับเพื่อ การป้องกันตำแหน่ง คราวแรกของเขาเป็น ชนะ ป.เปาอินทร์ นักชกในสังกัดของ “แชแม้” นิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์ ไฟต์นี้จบลงด้วยน้ำตาของ โอฮาชิ หลังจากที่เขาต้อง พ่ายคะแนนให้กับ มวยจอมอึด จากเพชรบูรณ์

ไปแบบไม่เอกฉันท์ ด้วยคะแนน (112-117,114-114แล้วก็111-118) ซึ่งนั้นเป็นการต่อยครั้งสุดท้ายของ รวมทั้งจบอาชีพ การค้ากำปั้น ของเขาไป ตลอดกาล ด้วยวัยเพียงแค่ 27 ปี แค่นั้น

จากรุ่นสู่รุ่น แม้ว่า ยังคงตั้งใจ ที่จะกลับ มาทวงเข็มขัด แชมป์คืนมา แต่เขากลับต้องยอมตัดใจ เกษียณตัวเอง หลังจาก ที่ตรวจพบปัญหา เกี่ยวกับ ดวงตาของเขา

ซึ่งต่อมา ได้จัดงานแถลงข่าวในวันที่ 7 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1994 เพื่อประกาศปิดฉาก เส้นทางกำปั้น อย่างเป็น ทางการ หลังจากโลดแล่นบน สังเวียนเกือบ 1 ทศวรรษ